วิธีแก้อาการแพ้ท้อง เวียนหัว อ้วก อาเจียนตอนเช้า

แก้อาการแพ้ท้อง เวียนหัว อ้วก อาเจียนตอนเช้า

เมื่อคุณแม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์เคยมีอาการแพ้ท้องแบบแม่มั้ยคะ? อาการคลื่นไส้ อาเจียนในการตั้งครรภ์หรือที่เรียกว่า อาการแพ้ท้อง ที่ดูจะเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ในการตั้งครรภ์ในช่วงแรก ๆ แต่ก็มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในแต่ละวันไม่น้อยเลยทีเดียว บางคนอาจรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียนทั้งกลางวันและกลางคืน หรือบางคนก็รู้สึกแพ้ท้องตลอดทั้งวันไม่หยุดไม่หย่อน อาการแพ้ท้องจึงเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์กับว่าที่คุณแม่หลาย ๆ คน เพราะไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบตัวเราเองในชีวิตประจำวัน ยังทำให้ลูกน้อยของคุณมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วยนะคะ (1) แต่อาการแพ้ท้องมักจะหายไปภายในสัปดาห์ที่ 16 -20 ของการตั้งครรภ์

ระดับของการแพ้ท้อง

ว่าที่คุณแม่บางคนอาจมีอาการเจ็บป่วยจากการตั้งครรภ์ในรูปแบบรุนแรงที่เรียกว่า Hyperemesis Gravidarum ซึ่งหากคุณแม่คนใดมีอาการแพ้ท้องขั้นรุนแรงแบบนี้ต่อเนื่องกัน อาจจะมีความเสี่ยงในเรื่องของครรภ์เป็นพิษหรือคลอดก่อนกำหนดได้นะคะ (2) สิ่งนี้อาจร้ายแรงและมีโอกาสที่คุณอาจได้รับของเหลวในร่างกายไม่เพียงพอหรือเกิดภาวะขาดน้ำ หรือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจากอาหารที่คุณรับประทานเข้าไป จนเกิดการขาดสารอาหารได้ค่ะ ซึ่งคุณเองอาจต้องได้รับการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือบางคนอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเลยทีเดียว

นอกจากนี้การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมักมีผลต่อกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปที่ไตได้ด้วยค่ะ

เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน

สาเหตุของการแพ้ท้อง (3)

อาจยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการแพ้ท้องนะคะ แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ยอมรับว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่อาจจะมีบทบาทต่อการแพ้ท้อง อาทิเช่น:

1. ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าส่วนหนึ่งของอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ จนลามไปถึงอาเจียนนี้ เกิดมาจากการเพิ่มขึ้นของระดับการไหลเวียนของฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งอาจจะสูงขึ้น 100 เท่าในระหว่างการตั้งครรภ์เมื่อเทียบกับระดับที่พบในผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงความแตกต่างของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนระหว่างผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มี หรือ ไม่มีอาการแพ้ท้องค่ะ

2. ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน

เมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์ จะมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอรโรนที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่อยู่ในระดับสูง จะทำให้กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัวเพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นสาเหตุทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้ผ่อนคลายลง ส่งผลให้มีกรดในกระเพาะอาหารมากจนเกินไปเลยทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น

3. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

น้ำตาลในเลือดต่ำนั้น เกิดจากการที่รกของคุณแม่กำลังระบายหรือถ่ายพลังงานออกจากร่างกายเลยทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย หรือมีอาการแพ้ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาที่จะพิสูจน์ในเรื่องนี้แน่ชัดนักค่ะ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

4. ระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ จะมีฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น อาทิเช่น Human Chorionic Gonadotropin (HCG) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อตัวอ่อนหรือทารกที่กำลังพัฒนา และมักจะเกิดขึ้นไม่นานหลังจากการตั้งตั้งครรภ์ในระยะแรก ๆ และต่อมาก็ถูกผลิตจากรก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่า ด้วยระดับฮอร์โมน HCG ที่เพิ่มขึ้นนี้เองมีความเชื่อมโยงกับอาการแพ้ท้องนั่นเอง

5. ความรู้สึกและความไวของกลิ่น

ในระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่อาจมีความไวต่อกลิ่นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้มากเกินไปค่ะ

ความรู้สึกและความไวของกลิ่น

ปัจจัยเสี่ยงของการแพ้ท้อง (1)

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วง 12 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการแพ้ท้อง แต่คุณอาจจะเสี่ยงต่ออาการแพ้ท้องมากขึ้นหาก:

  1. คุณมีลูกฝาแฝดหรือแฝดสาม
  2. คุณมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนอย่างรุนแรงในการตั้งครรภ์ครั้งก่อน
  3. คุณมีประวัติปวดหัวไมเกรน
  4. อาการแพ้ท้องเกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัวมาก่อน
  5. คุณเคยรู้สึกไม่สบายเมื่อรับประทานยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
  6. เป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรกของคุณ
  7. คุณเป็นโรคอ้วน หรือมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) 30 ขึ้นไป
  8. คุณกำลังประสบกับความเครียด

การรักษาอาการแพ้ท้อง (1)

น่าเสียดายนิดนึงค่ะที่ไม่มีรักษาที่รวดเร็วทันใจและใช้ได้ผลมากนักกับอาการแพ้ท้องของผู้หญิงตั้งครรภ์ทุกคน เพราะแน่นอนว่าการตั้งครรภ์ในแต่ละคนหรือแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างกันไป อย่างประสบการณ์การตั้งครรภ์ทั้งสองของแม่ แม่แทบไม่มีอาการแพ้ท้องใด ๆ ในการตั้งครรภ์ครั้งแรก แต่กลับมีอาการแพ้ท้องในท้องที่สอง ทั้งคลื่นไส้ ทั้งอาเจียน ตื่นเช้ามาก็มึนหัวเลย แทบจะรับประทานอะไรก็ไม่ได้ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่แม่อยากนำมาบอกเล่า และว่าที่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ที่มีอาการแพ้ท้องสามารถนำไปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารที่แพ้ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติ หรือการนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อบรรเทาอาการแพ้ท้องได้ไม่มากก็น้อยค่ะ แต่หากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผลสำหรับคุณ หรือคุณเริ่มมีอาการแพ้ท้องที่รุนแรงขึ้น ก็ควรปรึกษาแพทย์ซึ่งอาจจะแนะนำให้ใช้ยาเพื่อลดอาการแพ้ท้องค่ะ

สิ่งที่คุณสามารถลองได้ด้วยตัวเอง

หากอาการแพ้ท้องของคุณไม่ได้แย่จนเกินไป แพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ก็จะแนะนำให้คุณลองปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันค่ะ เช่น

วิธีเหล่านี้ไม่ดีขึ้นเลย ทำอย่างไรต่อดี?

หากอาการคลื่นไส้และอาเจียนของคุณรุนแรงและไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นมาเลย หลังจากลองปรับเปลี่ยนวีถีชีวิตแบบข้างต้นแล้ว แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ใช้ยาต้านอาการป่วยระยะสั้นที่เรียกว่ายาต้านอาการป่วย ซึ่งปลอดภัยที่จะนำมาใช้ในระหว่างการตั้งครรภ์ค่ะ บ่อยครั้งที่ยาตัวนี้อาจเป็นสารต่อต้านฮีสตามีนชนิดหนึ่ง ซึ่งมักใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้ แต่ยังใช้เป็นยาเพื่อหยุดความเจ็บป่วยและอาการแพ้ท้องได้ โดยปกติแล้วจะมาในรูปแบบเม็ดเพื่อให้คุณกลืน แต่ถ้าคุณไม่สามารถใช้ยาตัวนี้เพื่อรักษาอาการได้ แพทย์ของคุณก็จะวินิจฉัยโดยอาจแนะนำให้ฉีดยาหรือใช้ยาบางชนิดสอดเข้าไปในทวารของคุณ หรือ ยาเหน็บนั่นเองค่ะ

แนะนำให้ฉีดยาหรือใช้ยาบางชนิดสอดเข้าไปในทวารของคุณ หรือ ยาเหน็บ

ถึงแม้ว่าอาการแพ้ท้องจะดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่พบได้ทั่วไปในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ แต่หาคุณแม่รู้สึกคลื่นไส้ตลอดทั้งวัน จนทำให้ไม่สามารถกินหรือดื่มอะไรได้เลย มีอาการอาเจียน 3 – 4 ครั้งต่อวัน หรือไม่สามารถเก็บอะไรไว้ในกระเพาะอาหาร เป็นอันต้องอาเจียนออก อีกทั้งอาจมีสีน้ำตาลหรือเลือดปะปนอยู่ น้ำหนักลด มีอาการวิงเวียนศีรษะ เป็นลมร่วมด้วย ปัสสาวะน้อยลง มีอัตราการเต้นของหัวใจอย่างรวดเร็ว อาการปวดหัวกำเริบ เมื่อยล้ามาก มีกลิ่นปากหรือกลิ่นตัวไม่พึงประสงค์ และมีความสับสน ก็ควรโทรหาคุณหมอทันทีนะคะ เพื่อที่คุณหมอจะได้วินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัยค่ะ ที่สำคัญเราต้องไม่ลืมที่จะดูแลตัวเองด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับคุณแม่ รวมไปถึงวิตามินเสริมที่สำคัญสำหรับคนท้องด้วยนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากเราค่ะ


Resources :
(1) Vomiting and morning sickness
(2) Pregnancy – morning sickness
(3) What is morning sickness and how can I treat it?